บทที่ 1
ตอนที่พี่ภูมิโทรมาบอกว่าจะไม่กลับมากินข้าว เป็นจังหวะเดียวกับที่ฉันยกกับข้าวตานสุดท้ายมาวางบนโต๊ะพอดี
ใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงดูดีเหมือนวันวานในวิดีโอคอลเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "ขอโทษนะที่รัก คุณก็รู้นี่นาว่าบริษัทกำลังอยู่ในช่วงขยายตัว ผมเลี่ยงงานเลี้ยงรับรองลูกค้าไม่ได้จริงๆ!"
ตั้งแต่พ่อแม่ฉันเสียไป เขาเคยคุกเข่าสาบานต่อหน้าหลุมศพท่านว่าจะดูแลฉันให้ดีไปตลอดชีวิต ให้ฉันได้อยู่อย่างสุขสบายไร้กังวล แต่นี่เป็นครั้งที่เจ็ดของเดือนนี้แล้วนะที่เขาอ้างเรื่องรับรองลูกค้าแล้วไม่กลับบ้าน
ฉันรู้สึกน้อยใจนิดหน่อย แต่ส่วนลึกแล้วกลับรู้สึกสงสารเขามากกว่า
วันนี้เป็นวันเกิดของเขา เดิมทีฉันตั้งใจจะลงมือเข้าครัวทำของโปรดของเขาเพื่อฉลองกัน แต่เขากลับต้องยุ่งจนกลับบ้านไม่ได้ เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของเรา
"ไม่เป็นไรค่ะ" ดูเหมือนเขาจะแอบโทรมาจากห้องน้ำ ฉันมองเห็นผนังสีขาวด้านหลังเขาและได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมลอดเข้ามา จึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า "ดื่มให้น้อยหน่อยนะคะ ถ้าดึกเกินไปมันอันตรายก็ไม่ต้องกลับมาหรอก พรุ่งนี้ค่อยกลับก็ได้"
สีหน้าของพี่ภูมิเปลี่ยนเป็นซาบซึ้งใจทันที "ที่รัก คุณแสนดีเกินไปแล้ว การได้แต่งงานกับคุณ คือโชคชะตาที่ผมทำบุญสะสมมาหลายชาติจริงๆ!"
เขาทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตู ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงหวานหยดย้อยของผู้หญิงคนหนึ่ง "พี่ภูมิคะ เสร็จหรือยัง?"
หัวใจฉันกระตุกวูบ ทั้งน้ำเสียงนั้น และสรรพนามที่ใช้เรียก...
พอฉันจะอ้าปากถาม พี่ภูมิก็รีบพูดแทรกขึ้นมาว่า "ที่รัก ลูกค้าเร่งแล้ว ผมไม่คุยแล้วนะ รักคุณนะครับ!"
พูดจบ เขาก็ทำท่าจุ๊บใส่หน้าจอ แล้ววางสายไปทันที
ฉันที่ถือโทรศัพท์อยู่ทางนี้ รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที
ปกติลูกค้าถ้าไม่เรียกว่า 'ท่านประธาน' ก็ควรจะเรียกชื่อเฉยๆ สิ?
แต่ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงเรียกว่า 'พี่ภูมิ'?
หรืออาจจะเป็นผู้ช่วยของลูกค้าก็ได้มั้ง?
เดี๋ยวนี้เขาก็นิยมเรียกผู้ชายว่า 'พี่' เรียกผู้หญิงว่า 'เจ๊' เพื่อตีสนิทกันไม่ใช่เหรอ?
แต่ทว่า ความหวาดระแวงเปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ ที่ได้ร่วงหล่นลงในใจฉันเสียแล้ว
มื้อเย็นนั้นฉันกินอะไรแทบไม่ลง ตอนอาบน้ำก็คอยปลอบใจตัวเองว่า อาจเป็นเพราะฮอร์โมนคนท้องที่ทำให้ฉันคิดมากไปเอง
พี่ภูมิรักฉันขนาดนั้น ทั้งอ่อนโยน เอาใจใส่ และดูแลดีทุกระเบียดนิ้ว ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่จะไปทำตัวเหลวไหลข้างนอกได้เลย
ถึงแม้จะพร่ำบอกตัวเองแบบนั้น แต่คืนนั้นฉันก็นอนหลับไม่สนิทอยู่ดี
ในขณะที่กำลังสะลึมสะลือ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ฉันรับสายโดยสัญชาตญาณ นึกว่าพี่ภูมิโทรมาให้ไปรับ
"ฮัลโหล?"
ฉันขานรับไป แต่ปลายสายกลับไม่มีใครพูด มีเพียงเสียงลมหายใจหอบกระเส่าที่สอดประสานกันอย่างน่าสงสัย
ฉันชะงัก หัวใจบีบแน่น
รีบลุกขึ้นนั่งกอดผ้าห่มแล้วเอื้อมมือไปเปิดไฟ "ฮัลโหล พูดสิ คุณเป็นใครกันแน่?"
ใจฉันเต้นระรัวด้วยความกลัว ความกังวลเหมือนมือขนาดใหญ่ที่บีบรัดรอบคอ ทำให้ฉันรู้สึกหายใจติดขัด
เสียงหอบหายใจจากปลายสายยังคงดำเนินต่อไป แต่คราวนี้มีเสียงหวานหยดย้อยบาดลึกดังแทรกขึ้นมา
"มาหาเค้าทีไร เหมือนคนอดอยากมาจากไหน แทบจะกลืนกินเค้าไปทั้งตัว ราณีเขาเป็นเมียประสาอะไร ทำไมถึงปล่อยให้คุณหิวโซขนาดนี้!"
ราณี... นั่นชื่อฉันนี่
พอได้ยินแบบนั้น ลมหายใจฉันก็สะดุด เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
แล้วฉันก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยอย่างที่สุด แต่กลับใช้น้ำเสียงรังเกียจเดียดฉันท์ที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน
"เวลานี้จะไปพูดถึงนังอ้วนอัปลักษณ์นั่นทำไม เสียบรรยากาศหมด!"
เปรี้ยง!
เหมือนมีสายฟ้าฟาดลงมากลางกบาล ทำเอาสมองฉันอื้ออึงไปหมด
ช่วงใกล้คลอด ฉันกินเก่งมาก น้ำหนักพุ่งขึ้นมาตั้งสิบกว่ากิโล
จากหุ่นนางแบบเอวเอสหนักแค่สี่สิบห้ากิโล กลายเป็นตุ่มเดินได้หนักหกสิบกว่ากิโลในตอนนี้
ใบหน้าที่เคยคมสวยได้รูป ก็บวมเป่งเหมือนซาลาเปา หน้ามันแผล็บ แถมยังมีฝ้าขึ้นเต็มไปหมด
หลายครั้งที่ส่องกระจก ฉันยังอดรังเกียจสภาพตัวเองตอนนี้ไม่ได้เลย
ฉันเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เคยถามพี่ภูมิอยู่บ่อยๆ ว่าฉันเปลี่ยนไปขนาดนี้ เขารังเกียจไหม
แต่เขากลับกอดฉันไว้ แล้วปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและใจเย็นที่สุดว่า "ที่รัก พูดอะไรแบบนั้น ผมไม่ใช่คน 'กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา' สักหน่อย! คุณยอมเสียสละรูปร่างเพื่อมีลูกให้ผม ผมรักคุณจะตาย แล้วจะไปรังเกียจคุณได้ยังไง?"
ตอนนั้น พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฉันซาบซึ้งใจจนพูดไม่ออก คิดแค่ว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้เจอผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก
แต่ตอนนี้ ฉันกลับรู้สึกเหมือนถูกจับแช่ในถังน้ำแข็ง ความหนาวเหน็บแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย เหมือนจะแช่แข็งฉันให้ตายทั้งเป็น
ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะคิกคักเสียงสั่น "รังเกียจแล้วทำไมไม่หย่ากับนางซะล่ะ มาหาเค้าทีไรก็อ้างลูกค้าตลอด มีลูกค้าที่ไหนยอมให้คุณ 'จัดหนัก' ขนาดนี้บ้างฮึ?"
"โธ่คนดี ผมก็จนปัญญาเหมือนกันนี่นา" พี่ภูมิพูดด้วยน้ำเสียงจำยอม "ตอนนี้เขาท้องอยู่ ต่อให้ผมอยากหย่าก็หย่าไม่ได้ เด็กดี... รออีกหน่อยนะ สัญญาที่ให้ไว้ผมทำตามแน่นอน"
ผู้หญิงทุบเขาเบาๆ "ก็ดีแต่พูดเอาใจเค้า ถ้าคุณไม่เอานางจริงๆ แล้วจะปล่อยให้ท้องได้ยังไง?"
พี่ภูมิหัวเราะ "สงสัยผมยังขยันไม่พอสินะ คุณถึงยังมีแรงมาคิดเรื่องพวกนี้ได้!"
พูดจบ ปลายสายก็มีเสียงกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรงดังขึ้นทันที เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังพั่บๆ ไม่หยุด ทำเอาฉันแทบจะอาเจียนออกมา
เสียงของผู้หญิงคนนั้นขาดห้วงเพราะแรงกระแทก ไม่มีปัญญาจะพูดอะไรต่อ เหลือเพียงเสียงกิจกรรมเข้าจังหวะของทั้งคู่
ฉันทนฟังต่อไปไม่ไหว จึงกดวางสายทันที
ภายในห้องนอนเงียบสงัด เงียบจนได้ยินแต่เสียงหอบหายใจด้วยความไม่อยากเชื่อของตัวฉันเอง
ฉันกำโทรศัพท์แน่น สมองยังคงมึนงง
ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่า พี่ภูมิที่รักฉันขนาดนั้น จะกล้าทรยศฉันได้ลงคอ
ฉันกับพี่ภูมิเป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยมหาวิทยาลัย ตอนฝึกภาคสนามช่วงรับน้อง นักศึกษาชายกับหญิงจะถูกแยกกองร้อยกันฝึก
แต่เพราะมีการจัดกิจกรรมกระชับมิตรระหว่างกองร้อย ทำให้พรหมลิขิตชักนำให้เรามาเจอกัน
ตอนนั้นฉันกับเขาถูกจับคู่ให้ประลองกัน พอเขาเห็นหน้าฉันปุ๊บ หน้าเขาก็แดงก่ำทันที
เดิมทีเขาเป็นตัวท็อปของกองร้อยเขาแท้ๆ แต่เขากลับยอมออมมือให้ แล้วแกล้งแพ้ฉันง่ายๆ
ตอนนั้นเพื่อนๆ ทั้งสองกองร้อยต่างพากันโห่แซว ฉันมองดูเด็กหนุ่มหน้าตาดีในชุดฝึกทหารยืนท่ามกลางแสงแดด ใบหน้าแดงก่ำราวกับมะเขือเทศสุก เขาทั้งเขินทั้งอายจนไม่กล้าสบตาฉันตรงๆ
ภาพเหตุการณ์นั้น ไม่ว่าจะย้อนนึกถึงกี่ครั้ง หัวใจฉันก็ยังเต้นตึกตักเหมือนกวางน้อยตื่นตูมทุกครั้งไป!
หลังจากนั้น ก็เป็นไปตามคาด เขามาสารภาพรักกับฉัน ฉันก็ตอบตกลง แล้วเราก็คบกัน
วันรับปริญญา เขาได้ขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์ในฐานะบัณฑิตเกียรตินิยม แต่เขากลับใช้เวทีนั้นขอฉันแต่งงานดื้อๆ
เขาบอกว่าฉันคือรักแรกของเขา วินาทีแรกที่เห็นหน้าฉัน เขาก็รู้ทันทีว่าชาตินี้ต้องเป็นผู้หญิงคนนี้แหละ
เขาบอกว่าความพยายามทั้งหมดของเขา ก็เพื่อให้ฉันได้มีชีวิตที่สุขสบายในวันข้างหน้า
เขาบอกว่าฉันคือเป้าหมายสูงสุดในชีวิต คือสมบัติล้ำค่าที่สุดของเขา เขาถึงได้เรียกฉันว่า 'ที่รัก' มาตลอด
วันนั้นเขาพูดอะไรอีกตั้งเยอะแยะ เพื่อนๆ ในหอประชุมพากันซาบซึ้งจนน้ำตาไหล
ทุกคนต่างเชียร์ให้ฉันแต่งงานกับเขา แม้แต่อาจารย์หลายท่านก็ยังชื่นชมคู่ของเรา
คนที่เคยรักฉันขนาดนั้น คนที่ยกให้ฉันเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ทำไมบทจะหมดรัก ก็หมดเยื่อใยกันง่ายๆ แบบนี้?!
ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจจะโทรไปเคลียร์กับพี่ภูมิให้รู้เรื่อง
ฉันกดโทรหาเขาทันที
สายแรกไม่รับ สายที่สองโดนตัดทิ้ง สายที่สามรอจนเกือบจะตัดไป ปลายสายถึงยอมรับ
เสียงของผู้ชายเบามาก เหมือนกำลังเอามือป้องโทรศัพท์แล้วกระซิบ "เป็นอะไรไปครับที่รัก? ดึกป่านนี้ทำไมยังไม่นอนอีก?"
"คุณอยู่ที่ไหน?" ฉันยังไม่โพล่งถามออกไปตรงๆ
พี่ภูมิตอบกลับมา "ยังรับรองลูกค้าอยู่เลยครับ น่าจะเลิกดึกแน่ๆ อยากรีบกลับไปกอดที่รักจะแย่แล้ว แต่เสียดายที่ทำไม่ได้ เพื่ออนาคตของเราและลูก คืนนี้ต้องขอโทษที่ปล่อยให้ที่รักนอนคนเดียวนะครับ"
"คุณอยู่กับลูกค้าจริงๆ เหรอ?" สุดท้ายฉันก็อดรนทนไม่ไหว น้ำเสียงเริ่มเย็นชาขึ้น
เมื่อเจอกำแพงคำถาม พี่ภูมิก็ไม่ได้โกรธ กลับพูดปลอบอย่างใจเย็น "ที่รัก ลูกดิ้นกวนใจอีกแล้วเหรอ? อย่าหงุดหงิดนะ เดี๋ยวพอลูกออกมา ป๊าจะตีตูดสั่งสอนให้เอง อย่าคิดมากเลยนะ รีบนอนเถอะ ผมต้องไปทำงานต่อแล้ว รักนะครับ!"
พูดจบเขาก็วางสายไปเลย
ภาพลักษณ์สามีดีเด่นที่ยอมทำงานหนักเพื่อครอบครัว ทำให้ยากที่จะระแวงสงสัยในตัวเขา
ถ้าเมื่อกี้ฉันไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับผู้หญิงคนนั้นกับหูตัวเอง ฉันคงโดนเขาหลอกเข้าเต็มเปาอีกแน่
ฉันเตรียมจะโทรกลับไปลองเชิงอีกรอบ แต่ยังไม่ทันได้กดโทร ก็มีคลิปวิดีโอส่งเข้ามาในมือถือเสียก่อน
คลิปนั้นถูกส่งมาจากเครื่องของพี่ภูมิ ฉันนึกว่าเขาจะส่งมาเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่าอยู่กับลูกค้าจริงๆ
แต่พอฉันกดดู สิ่งแรกที่เห็นคือเสื้อผ้าที่กองระเกะระกะอยู่เต็มพื้น
เสื้อเชิ้ตสีขาวของผู้ชายกับชุดชั้นในสีแดงสดของผู้หญิงพันเกี่ยวกันอยู่ กระดุมข้อมือรูปทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดดีไซน์เก๋ สะท้อนแสงไฟสีส้มสลัวเป็นประกายวาววับ
กระดุมข้อมืออันนั้น คือของขวัญที่ฉันตั้งใจเลือกให้เขาในวันจดทะเบียนสมรส!
ฉันไม่มีทางจำผิดแน่นอน!
สรุปว่า... พี่ภูมินอกใจฉันจริงๆ
